ภาคเอกชนไทย-จีน ร่วมจัดตั้งกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน

40 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ภาคเอกชนไทย-จีน ร่วมจัดตั้งกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ได้ประกาศร่วมกันถึงการจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมรับมือต่อโอกาสและความท้าทาย ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

การจัดตั้งกลไกนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทั้งสามหน่วยงาน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก การแก้ไขอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ



ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่หนึ่ง และตัวแทนประสานงานของกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ของทั้งสามองค์กร ได้กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีน ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยและจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจัดตั้งกลไกนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังช่วยลดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและข้อบังคับทางการค้า”



ทั้งนี้ การจัดตั้งกลไกดังกล่าว มีเป้าหมายหลักในการสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนไทยและจีนว่าจะสามารถร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีแผนดำเนินการสำคัญ 9 ประการ ได้แก่

1)      การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเศรษฐกิจและการค้าที่เชื่อถือได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสังคมไทยต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน

2)      การจัดการประชุมเป็นประจำระหว่างตัวแทนจากทั้งสองประเทศ เพื่อส่งเสริมการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ

3)      การส่งเสริมกิจกรรมการพบปะและแลกเปลี่ยนระหว่างธุรกิจไทยและจีน ผ่านงานสัมมนาและโครงการสาธารณกุศล

4)      การร่วมมือในด้านการฝึกอบรมและการศึกษาเทคนิค เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านกฎหมาย วัฒนธรรม และแนวปฏิบัติทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ

5)      การจัดงาน Supplies Matching และงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมมือในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น 5G อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์

6)      การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสารสนเทศ

7)      การให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจระหว่างสองประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

8)      การเสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อมวลชน เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จจากการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน

9)      การสนับสนุนให้ธุรกิจทั้งสองประเทศปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญว่านอกจากประเทศจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยแล้ว จีนมีบทบาทสำคัญในฐานะพี่น้องที่ช่วยเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

หอการค้าฯ ถือเป็นองค์กรภาคเอกชนไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศกว่า 156,000 ราย โดยเฉพาะเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จัดตั้งขึ้นโดยการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ รูปแบบการค้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะ E-Commerce มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสองประเทศ จีนถือเป็นต้นแบบที่ดีที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิตและ Supply Chain ในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการผลิตจนประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างแพลตฟอร์มระดับโลกที่สามารถเปิดตลาดการค้าของจีนได้ทั่วโลก ดังนั้น การเข้ามาลงทุนของจีนในในประเทศไทย นอกจากจะช่วยสร้างการจ้างงานและการเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังถือเป็นโอกาสสำคัญที่จีนจะช่วยให้ไทยสามารถยกระดับศักยภาพจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน นอกจากนั้นแล้ว ในด้านการศึกษา หอการค้าไทยในฐานะเจ้าของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดหลักสูตร "หลักสูตรเทพเซียน" ที่เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และการใช้ภาษาจีนเพื่อการเจรจาธุรกิจ ซึ่งดำเนินการมาแล้วถึง 4 รุ่น เกิดเครือข่ายภาครัฐ เอกชนระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้น จึงมั่นใจว่าการจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" จะเป็นอีกหนึ่งกลไกของภาคเอกชนไทยและจีน ในการพูดคุย หาแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการค้า ตลอดจนเป็นเวทีในการพัฒนาและยกระดับรูปแบบการค้า การลงทุน เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาลของสองประเทศ ให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ และความท้าทาย ตลอดจนโอกาสใหม่ ๆ เพื่อกำหนดนโยบายระหว่างประเทศที่สร้างสรรค์ร่วมกันต่อไป


นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล  ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน กล่าวเสริมว่า “หอการค้าไทย-จีน”  ยินดีสนับสนุนการจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งและรอบด้านของทั้งภาครัฐ  ภาคเอกชน และภาคประชาชนของสองประเทศ  และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกระชับความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568

หอการค้าไทย-จีน ได้จัดตั้งสหพันธ์หอการค้าไทย-จีนและสมาคมธุรกิจต่างๆ กว่า 80 สมาคม (สหพันธ์ฯ) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีน และเพื่อเสริมสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ประกอบการชาวจีนในประเทศไทย  โดยมุ่งหวังที่จะให้สหพันธ์ฯ มีบทบาทในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน  นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว


นางสาวเฉิน หวา ผู้แทนสภาสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของกลไกนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีความยั่งยืนระหว่างสองประเทศ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่ายินดีและเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคน การก่อตั้ง "กลไกความร่วมมือเพื่อการประสานและส่งเสริมการค้าที่ยั่งยืนระหว่างไทย-จีน"  และเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนทั้ง 9 ข้อนี้จะวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในอนาคต  สมาคมการวิสาหกิจจีนในประเทศไทย จะใช้ศักยภาพของแพลตฟอร์มที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศต่อไป และเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือนี้จะนำพาทั้งไทยและจีนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงบริษัทจีนกับไทย ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 365 บริษัท รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่ติดอันดับโลก การลงทุนจากบริษัทจีนในไทยได้เสริมสร้างเศรษฐกิจและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับประเทศ สำหรับความร่วมมือในอนาคต เราจะดำเนินการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจจีนกับ SME ของไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “กลไกนี้จะเป็นช่องทางหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน และเราหวังว่าจะสามารถช่วยลดข้อกังวลและอุปสรรคต่างๆ ที่ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศเผชิญหน้า พร้อมกันนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการขยายความร่วมมือไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจทั้งสองประเทศให้เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง”

สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต กลไกนี้จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของทั้งสองประเทศ รวมถึงสนับสนุนสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีและเป็นกลางระหว่างสังคมไทยและจีน

การจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" นี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้